สวัสดีค่ะเพื่อนๆ สายเที่ยวทุกคนวันนี้พวกเรา Trip.com จะพาเพื่อนๆ ไปตะลุยประเทศสุดขอบเอเชียอย่าง ประเทศจอร์เจีย (Georgia) ดินแดนแห่งเทือกเขาคอเคซัส เป็นอีกหนึ่งประเทศที่อยากให้ลองไปสัมผัสกัน ด้วยบรรยากาศ และเต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมที่มีการผสมผสานระหว่างสองทวีปไว้ได้อย่างลงตัว แถมการไปเที่ยวก็เป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องขอวีซ่า แค่มีพาสปอร์ตและงบพร้อมก็พร้อมบินได้เลย
ทำความรู้จักประเทศจอร์เจีย (Georgia)
เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะแอบปักจอร์เจียไว้ในลิสต์กันแล้วใช่ไหมคะ แต่ก็ยังคงสงสัยว่าต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง พวกเรา Trip.com ได้รวบรวมเอาไว้ที่นี่แล้วค่ะ ตามไปดูกันเลย
การเดินทางไปประเทศจอร์เจียนั้น ยังไม่มีสายการบินที่บินตรงจากไทย ไปลงที่เมืองหลวงจอร์เจีย ทบิลิซี (Tbilisi) จำเป็นที่จะต้องแวะเปลี่ยน 1 ครั้ง เช่น เปลี่ยนเครื่องที่สนามบินโดฮา ประเทศตุรกีนั่นเอง และใช้เวลาเดินทางราวๆ ประมาณ 11-13 ชั่วโมงค่ะ
ค่าเงินของจอร์เจีย 1 ลารีจอร์เจีย (Georgian Lari) = ประมาณ 10.59 บาท และไม่มีร้านแลกเงินในไทยเปิดแลกสกุลเงินลารีจอร์เจีย ดังนั้นแนะนำให้แลกเงิน US หรือเงิน Euro ไปแลกเป็นลารีที่ประเทศจอร์เจียค่ะ
เมนูอาหารที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงจอร์เจียนั่นก็คือ Khachapuri เป็นขนมปังที่รสสัมผัสคล้ายแป้งพิซซ่าแบบหนานุ่ม มีไข่ ชีส เนย อยู่ตรงกลาง จะได้ความหอมหวาน มันและนัวมาก ส่วนอีกเมนูคือ Khinkali เกี๊ยวสไตล์ยุโรป คล้ายๆ กับเสี่ยวหลงเป่า ที่จะมีน้ำซุปด้านในค่ะ น่าอร่อยมากๆ ต้องลอง! และอีกอย่างที่พลาดไม่ได้เลยคือ ไวน์จอร์เจีย นั่นเองค่ะ เสียงลือเสียงเล่าอ้างกันมาว่า ไวน์ที่นี่รสชาตินุ่มละมุนลิ้นที่สุดในโลกเชียวค่ะ สายดริ้งค์ คอทองแดงทั้งหลาย เตรียมจดไว้ในลิสต์ด่วนๆ เลย จะซื้อเป็นของฝากหรือกลับบ้านก็เก๋ไปอีกแบบค่ะ😋
เที่ยวจอร์เจีย (Georgia) ช่วงไหนดีนะ?
สภาพอากาศของประเทศจอร์เจียค่อนข้างจะหลากหลายและสามารถเที่ยวได้ทั้งปี อยู่ที่ว่าเพื่อนๆ จะชอบบรรยากาศของฤดูไหนเป็นพิเศษก็ให้วางแผนเดินทางมาในช่วงนั้นได้เลย
- ฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ในช่วง เดือนมีนาคม-พฤษภาคม เป็นช่วงที่เที่ยวได้สบายที่สุด
- ฤดูร้อน จะอยู่ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม แดดแรงได้ใจ ใครไม่ชอบหน้าหนาว มาเที่ยวในช่วงนี้ได้เลย
- ฤดูใบไม้ร่วง อยู่ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ช่วงนี้จะมีใบไม่เปลี่ยนสีให้ดูด้วย สวยงามมาก แต่ถ้าเที่ยวบนเขาลมแรงๆ จะหนาวมากแนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวมาให้พร้อมค่ะ
- ฤดูหนาว อยู่ช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -3 ถึง 8 องศาเซลเซียส ช่วงนี้จะมีหิมะตกจนขาวโพลนไปหมดเลยทีเดียว แนะนำให้เตรียมร่างกายและอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อมค่ะ
📍เมืองหลวงทบิลิซี (Tbilisi)
สถานที่แรกที่พวกเรา Trip.com จะพาไปเยี่ยมชมนั่นก็คือ เมืองหลวงของประเทศจอร์เจีย หรือ เมืองทบิลิซี (Tbilisi) นั่นเอง
เอกลักษณ์ของที่นี่นั่นก็คือ ถึงแม้จะเป็นเมืองหลวงแต่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์แบบเมืองเก่าไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งสีสัน รูปแบบอาคารบ้านเรือนที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมของแต่ละยุค ที่สำคัญคือรายล้อมด้วยภูเขาสูงใหญ่สวยงามมาก นับเป็นภาพที่หาได้ยากในเมืองหลวงอื่นเลยก็ว่าได้
ที่เมืองทบิลิซีมีเคเบิลคาร์จากสวนไรค์ (Rike Park) ให้ขึ้นไปชมวิวแบบพาโนรามาบนป้อมปราการ นาริกาลา (Narikala) ด้านบนอีกด้วย ค่าโดยสารเพียง 1 ลารีจอร์เจียเท่านั้น
นอกจากจะมีสถาปัตกรรมเรือนที่น่าสนใจแล้ว เมื่อมาถึง เมืองทบิลิซีห้ามพลาดที่จะแวะไปที่ ทะเลสาบทบิลิซี (Tbilisi Sea) เลยนะคะ ที่นี่คือทะเลสาบเทียมที่รายล้อมไปด้วยวิวบรรยากาศธรรมชาติอันเงียบสงบของป่าไม้ และเทือกเขา นอกจากจะเป็นที่พักผ่อนแล้วที่นี่ยังเป็นแหล่งปิคนิคยอดนิยมของคนที่นี่ โดยเฉพาะหน้าร้อนผู้คนจะมาชุมนุมทำกิจกรรมกันที่นี่เยอะมากๆ
📍หมู่บ้านมรดกโลก อุชกูลลิ (Ushguli)
สถานที่ถัดไปคือ หมู่บ้านอุชกูลลี่ (Ushguli) ชุมชนโบราณที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1996 หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในเขต Svaneti โดยหมู่บ้านจะตั้งอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขา Shkhara สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 2,100 เมตร ถือว่าเป็นหมู่บ้านที่อยู่สูงที่สุดในยุโรปและเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วยนะคะ
ในปัจจุบัน หมู่บ้านอุชกูลลี่ มีชาวบ้านอาศัยอยู่ 70 ครัวเรือนหรือประมาณ 300 คน ถึงแม้ประชากรจะไม่มากและตัวหมู่บ้านจะอยู่ในหุบเขาก็ยังมีทั้งโรงเรียน โบสถ์ ร้านอาหาร ร้านค้า และโรงแรมที่พักพร้อมเลยยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์พื้นเมืองของชาวสวานี ที่แสดงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในเทือกเขาคอเคซัสอีกด้วย
ด้วยบรรยากาศและสุดจะธรรมชาติ ภูเขาลูกโตๆ ที่เป็นไฮไลท์ของหมู่บ้านแห่งนี้อย่าง ยอดเขาอูชบา (Ushba) ที่สวยงามทำให้ค่อนข้างเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวเลยทีเดียวค่ะ เอกลักษณ์ของ หมู่บ้านอุชกูลลี่นั้นมีลักษณะอาคารรวมสูงมีลักษณะคล้ายหอคอยสูง 4-5 ชั้น (20-30 เมตร) และที่สำคัญคือชาวเมืองยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมไว้ หมู่บ้านอุชกูลลี่ สามารถเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวที่นี่จะมีหิมะปกคลุมนานถึง 6 เดือนเลยทีเดียว ใครที่มีแพลนที่จะมาเที่ยว แนะนำว่าควรศึกษาสภาพอากาศให้ดีก่อนนะคะ
📍ชุมชนปล่องไฟ เมสเตีย (Mestia)
สถานที่ต่อไปคือ ชุมชนปล่องไฟ เมืองเมสเตีย(Mestia) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่ควรพลาด ที่ตั้งอยู่ระหว่างทางไปเมืองอุชกูลลี่ เอกลักษณ์ที่ชัดเจนและโดดเด่นของเมืองนี้ คือทุกๆ บ้านจะมีหอคอยขนาดใหญ่เห็นเด่นชัด ที่หากมองไกลๆ จะเหมือนปล่องไฟมากๆ ซึ่งในสมัยก่อนมีไว้เพื่อการรักษาความปลอดภัยของเมือง แม้จะเป็นเมืองเล็กแต่บรรยากาศสวยงามและยิ่งใหญ่มาก รายล้อมด้วยไปด้วยภูเขาลูกโตและ มีพิพิธภัณฑ์ให้ศึกษาประวัติศาสตร์อยู่ 2-3 แห่ง อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือที่นี่มีเส้นทางเดินเขาชมป่าสนด้วย ถูกใจสายtrekking สุดๆ
ถึงแม้จะเป็นเมืองที่เล็กๆ แต่ด้วยสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบนี้ รับรองว่าใครเห็นก็เป็นต้องร้องว้าว อีกทั้งบรรยากาศรอบๆ ก็สวยงามและร่มรื่นเหมาะแก่การมาเดินเล่นมากๆ เลยค่ะ ตอบโจทย์เพื่อนๆ ที่อยากไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อีกด้วย เพราะที่เมือง เมืองเมสเตีย(Mestia) มีพิพิธภัณฑ์ให้เยี่ยมชม 2-3แห่งเลยทีเดียว
การเดินทางมายังเมืองเมสเตีย(Mestia) สามารถโดยสารรถไฟใต้ดินเพื่อมาลงที่สถานี Station Square ที่นอกจากะเป็นสถานีรถไฟแล้วก็ยังมีร้านค้าขายเสื้อผ้า ของใช้และร้านอาหารต่างๆ อีกด้วยนะ
📍เมืองริมทะเลดำ บาทูมิ (Batumi)
เมืองบาทูมิ (Batumi) เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของจอร์เจีย ที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลดำทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจอร์เจีย นอกจากนี้ยังเป็นเมืองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและการเล่นการพนันอีกด้วย จนได้รับชื่อว่า ลาสเวกัสแห่งทะเลสีดำ เลยทีเดียว เพราะที่นี่เต็มไปด้วยสถานที่บันเทิง Entertainment ต่างๆ มากมาย
เมืองบาทูมิ (Batumi) เป็นท่าเรือสำคัญในการขนส่งและอุตสาหกรรมอีกด้วย และในปี 2010 เมืองบาทูมิ (Batumi) ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยการก่อสร้างอาคารสูงที่ทันสมัยรวมถึงการบูรณะอาคารคลาสสิกในศตวรรษที่ 19 ไว้ ณ ย่านเมืองเก่าแก่ที่ผสมผสานระหว่างสไตล์ยุคเก่าและยุคใหม่กันได้อย่างลงตัวมาก
📍เมืองบนเทือกเขา คาซเบกิ (Kazbegi)
เมืองคาซเบกิ (Kazbegi) ตั้งอยู่บนภูเขาคาซเบก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาคอเคซัสทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจอร์เจีย อยู่ไม่ไกลจาก เมืองทบิลิซี (Tbilisi) มากนัก และมีชายแดนทางตอนเหนือติดกับประเทศรัสเซียอีกด้วย การเดินทางมาที่นี่ต้องนั่งรถโฟล์วีลขึ้นมาหรือเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งใช้เวลาเดินทางราว ๆ 1-2 ชั่วโมง
เมืองคาซเบกิ (Kazbegi) เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวได้ให้ฉายาว่า เมืองสวรรค์ เนื่องจากเป็นเมืองที่มีวิวบรรยากาศภูเขาที่ค่อนข้างสวยงาม ราวกับได้ขึ้นสวรรค์ สักครั้งในชีวิตต้องแวะมาให้เห็นกับตาให้ได้เลยทีเดียวค่ะ และนอกจากนี้ วิวพระอาทิตย์ยังสวยงามไม่แพ้ที่ไหนอีกด้วย ฟินไปอีกกก
นอกจากวิวธรรมชาติหลักล้านที่ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว เมืองคาซเบกิ (Kazbegi) มีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นก็คือโบสถ์เก่าแก่ Gergeti Trinity Church สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 โดยมีด้านหลังเป็นแนวยอดเขาคาซเบกิอันยิ่งใหญ่เป็นแบ็คกราวน์ นับเป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การมาสุดๆ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อนๆ สายเที่ยวทุกคน บอกได้เลยว่าประเทศจอร์เจีย (Georgia) เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมที่สวยงามมากๆ อีกประเทศหนึ่งเลยทีเดียว ถ้ามีโอกาสในชีวิตหนึ่งต้องมาให้ได้สักครั้งเลยนะคะ ถ้าไม่อยากพลาดดีลเด็ด ๆ โรงแรมยอดนิยมลดพิเศษสูงสุด 40% และสำหรับลูกค้าใหม่คุ้กว่าเดิม! เก็บส่วนลดโรงแรม 128 บาทเพิ่มได้อีกด้วยนะ ต้องที่นี่เลย Trip.com ที่จะทำให้คุณเข้าถึงทุกดีลได้อย่างรวดเร็วก่อนใคร!