สวยมากเลยอยากไปอีกที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆสำหรับสายมูอยากให้ทุกคนได้ลองมากราบไหว้สักการะบูชาศาลเจ้าพ่อหลักเมืองจังหวัดสงขลารับรองว่าทุกคนจะต้องอินกับบรรยากาศและความขลังกว่า 151 ปี
[ใหม่ล่าสุด] แพ็คเกจรหัสโปรโมชั่นของเดือนนี้
ศาลหลักเมือง คู่บ้านคู่เมืองสงขลา เป็นที่ศรัทธา ของคนสงขลา
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา มีลักษณะเป็นอาคารรูปทรงสถาปัตยกรรมแบบเก๋งจีน จำนวน 3 หลัง สร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองสงขลาใหม่ที่ฝั่งบ่อยางซึ่งแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2385 รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง) เจ้าเมืองสงขลาจัดการฟังหลักชัยเมืองสงขลา ทรงพระราชทานไม้ชัยพฤกษ์หลักไชย ต้นหนึ่ง กับเทียนชัยเล่มหนึ่ง และโปรดเกล้าฯ ให้พระอุดมปิฎกออกไปเป็นประธานด้านพุทธพิธี พร้อมด้วยพระเถระฐานานุกรมเปรียญ 8 รูป และให้พระราชครูอัษฎาอาจารย์ เป็นประธานฝ่ายพิธีพราหมณ์พร้อมด้วยพราหมณ์ 8 นาย ต่อมาในพ.ศ. 2460 หลักเมืองสงขลาเกิดการชำรุด พ่อค้าและประชาชนชาวสงขลาได้ร่วมมือกันทำเสาหลักเมืองขึ้นใหม่ และวางเสาหลักเมืองใหม่ในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2460 ต่อมากรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนศาลเจ้าหลักเมืองเป็นโบราณสถาน เมื่อ พ.ศ. 2478
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยเชื้อสายจีนทั้งในจังหวัดสงขลา และจังหวัดใกล้เคียง
ชาวสงขลาเรียกว่า “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” ตั้งอยู่ที่ถนนนางงาม เป็นโบราณสถานสมัยรัตนโกสินทร์ ลักษณะเป็นศาลเจ้าแบบเก๋งจีน สร้างสมัยพระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง ณ สงขลา) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาภายในศาล เป็นที่ประดิษฐานหลักเมืองทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้ประจำเมือง หลักเมืองนี้ทำพิธีฝังเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2385
ตามตำนานเล่าว่าบริเวณถนนนางงามย่านเมืองเก่าและโบราณของสงขลา มีความเชื่อกันว่าต้องมีพิธีลงเสาเอกของเมืองและสร้างอาคารของเมือง เพื่อให้เป็นที่สถิตย์ของเทพผู้รักษาหลักเมือง ตามความเชื่อโดยเรียกเทพองค์นั้นว่า “เจ้าพ่อหลักเมือง” ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลาหรือศาลหลักเมืองสงขลา ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนนางงาม ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา โดยสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองสงขลาแห่งใหม่ที่ฝั่งบ่อยางเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๕ เป็นโบราณสถานร่วมสมัยรัตนโกสินทร์ มีลักษณะเป็นศาลเจ้าแบบเก๋งจีน พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง ณ สงขลา) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาในขณะนั้น ซึ่งได้รับเสาหลักเมืองที่ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์จากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ซึ่งดำริให้ฝังหลักชัยของเมืองสงขลา โดยทรงพระราชทานไม้ชัยพฤกษ์หลักไชยต้นหนึ่งกับเทียนชัยเล่มหนึ่ง ทั้นี้โปรดเกล้าฯ ให้พระอุดมปิฎกออกไปเป็น
สวยมากเลยอยากไปอีกที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆสำหรับสายมูอยากให้ทุกคนได้ลองมากราบไหว้สักการะบูชาศาลเจ้าพ่อหลักเมืองจังหวัดสงขลารับรองว่าทุกคนจะต้องอินกับบรรยากาศและความขลังกว่า 151 ปี
ศาลหลักเมือง คู่บ้านคู่เมืองสงขลา เป็นที่ศรัทธา ของคนสงขลา
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา มีลักษณะเป็นอาคารรูปทรงสถาปัตยกรรมแบบเก๋งจีน จำนวน 3 หลัง สร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองสงขลาใหม่ที่ฝั่งบ่อยางซึ่งแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2385 รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง) เจ้าเมืองสงขลาจัดการฟังหลักชัยเมืองสงขลา ทรงพระราชทานไม้ชัยพฤกษ์หลักไชย ต้นหนึ่ง กับเทียนชัยเล่มหนึ่ง และโปรดเกล้าฯ ให้พระอุดมปิฎกออกไปเป็นประธานด้านพุทธพิธี พร้อมด้วยพระเถระฐานานุกรมเปรียญ 8 รูป และให้พระราชครูอัษฎาอาจารย์ เป็นประธานฝ่ายพิธีพราหมณ์พร้อมด้วยพราหมณ์ 8 นาย ต่อมาในพ.ศ. 2460 หลักเมืองสงขลาเกิดการชำรุด พ่อค้าและประชาชนชาวสงขลาได้ร่วมมือกันทำเสาหลักเมืองขึ้นใหม่ และวางเสาหลักเมืองใหม่ในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2460 ต่อมากรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนศาลเจ้าหลักเมืองเป็นโบราณสถาน เมื่อ พ.ศ. 2478
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยเชื้อสายจีนทั้งในจังหวัดสงขลา และจังหวัดใกล้เคียง
ชาวสงขลาเรียกว่า “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” ตั้งอยู่ที่ถนนนางงาม เป็นโบราณสถานสมัยรัตนโกสินทร์ ลักษณะเป็นศาลเจ้าแบบเก๋งจีน สร้างสมัยพระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง ณ สงขลา) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาภายในศาล เป็นที่ประดิษฐานหลักเมืองทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้ประจำเมือง หลักเมืองนี้ทำพิธีฝังเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2385
ตามตำนานเล่าว่าบริเวณถนนนางงามย่านเมืองเก่าและโบราณของสงขลา มีความเชื่อกันว่าต้องมีพิธีลงเสาเอกของเมืองและสร้างอาคารของเมือง เพื่อให้เป็นที่สถิตย์ของเทพผู้รักษาหลักเมือง ตามความเชื่อโดยเรียกเทพองค์นั้นว่า “เจ้าพ่อหลักเมือง” ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลาหรือศาลหลักเมืองสงขลา ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนนางงาม ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา โดยสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองสงขลาแห่งใหม่ที่ฝั่งบ่อยางเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๕ เป็นโบราณสถานร่วมสมัยรัตนโกสินทร์ มีลักษณะเป็นศาลเจ้าแบบเก๋งจีน พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง ณ สงขลา) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาในขณะนั้น ซึ่งได้รับเสาหลักเมืองที่ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์จากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ซึ่งดำริให้ฝังหลักชัยของเมืองสงขลา โดยทรงพระราชทานไม้ชัยพฤกษ์หลักไชยต้นหนึ่งกับเทียนชัยเล่มหนึ่ง ทั้นี้โปรดเกล้าฯ ให้พระอุดมปิฎกออกไปเป็น