รวม 10 แลนด์มาร์คของโลก ที่ต้องได้ไปเช็กอิน

รูปโปรไฟล์ของผู้เขียน
รวม 10 แลนด์มาร์คของโลก ที่ต้องได้ไปเช็กอิน

แน่นอนว่าเป้าหมายของหลายคนคือการได้ไปเที่ยวรอบโลก เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แลนด์มาร์คสำคัญๆ ในแต่ละมุมโลกนั้น ต่างมีความสวยงามและเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลายคนเช่นกัน ซึ่งในแต่ละแลนด์มาร์คนั้นย่อมมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่ดึงดูดชวนให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม อีกทั้งความสวยงาม บรรยากาศ และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของแต่ละแลนด์มาร์คในโลกนั้นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องไปให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งบทความนี้ Trip.com ได้รวบรวมสถานที่ที่น่าสนใจ มาพร้อมกับเครื่องมือสุดว้าวที่จะช่วยให้การค้นหาและจองตั๋วเครื่องบิน รวมถึงที่พ้ักเป็นเรื่องง่าย มาดูกันว่าจะมีที่ไหนกันบ้าง

จีน - กำแพงเมืองจีน (Great Wall)

จีน - กำแพงเมืองจีน (Great Wall)

เมื่อพูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ของโลกและสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดของโลก หลายคนก็จะนึกถึง "กำแพงเมืองจีน" ด้วยความที่เป็นแนวกำแพงที่มีความยาวหลายหมื่นกิโลเมตร ทอดยาวผ่านภูเขา หุบเขา และทะเลทราย ซึ่งกำแพงนี้นอกจากจะแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศจีนแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงการร่วมแรงร่วมใจและภูมิปัญญาชั้นสูงของชาวจีนที่มีมาอย่างยาวนานนับพันปี โดยกำแพงแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล ในช่วงที่ประเทศจีนยังแบ่งแยกเป็นรัฐอิสระ โดยจุดประสงค์เพื่อปกป้องรัฐตนเองจากการรุกรานของศัตรู ต่อมาในยุคของ "จักรพรรดิฉินสื่อหวง” ราชวงศ์ฉิน ได้เป็นผู้รวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียว และได้มีการสั่งให้มีการรวมกำแพงเหล่านั้นเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็น "กำแพงเมืองจีน” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ต่อมาในสมัย "ราชวงศ์หมิง" ได้มีการปรับปรุงและซ่อมแซมให้มีความแข็งแรงและคงทนมากขึ้น จนได้เป็นกำแพงเมืองจีนแลนด์มาร์คของประเทศจีนที่เราได้เห็นในปัจจุบัน

ด้วยความยาวกว่า 21,000 กิโลเมตร ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยาวที่สุดในโลก และในปีค.ศ. 1987 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนกำแพงเมืองจีนให้เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม และในปี ค.ศ. 2007 ได้รับการประกาศให้เป็นหนึ่งใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ นอกจากกำแพงเมืองจีนจะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยาวที่สุดแล้ว ความสวยงามของที่นี่ก็ไม่เป็นรองเลยทีเดียว เป็นกำแพงที่จะทำให้ได้เห็นทิวทัศน์หลายรูปแบบ ทั้ง เทือกเขา ป่าที่อุดมสมบูรณ์ ทะเลทราย เรียกได้ว่าควรไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆ

เส้นทางไปเยือนกำแพงเมืองจีน

1. ปาต๋าหลิง (Badaling)

ถือได้ว่าเป็นจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อยู่ห่างจากกรุงปักกิ่งเพียง 70 กม. ในจุดนี้จะมีการอำนวยความสะดวกในด้านการเดินทาง มีเคเบิลคาร์คอยรองรับนักท่องเที่ยว เหมาะสำหรับเที่ยวเป็นกลุ่มหรือแบบครอบครัว ซึ่งใครมาครั้งแรกก็แนะนำให้มาจุดนี้

2. มู่เถียนอวี่ (Mutianyu)

สายธรรมชาติต้องหลงรัก เพราะวิวที่นี่จะรายล้อมไปด้วยป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีพรรณไม้นานาพันธุ์ นักท่องเที่ยวไม่เยอะ เงียบสงบ ไฮไลท์ของที่นี่จะเป็น สไลเดอร์ Toboggan ที่เลื่อนลงจากเขา สนุกแน่นอน

3. จินซานหลิ่ง (Jinshanling)

สำหรับใครที่เป็นสายคอนเทนต์และสายแอดเวนเจอร์ต้องมาที่นี่ เพราะเส้นทางมีความโลดโผนและเดินทางค่อนข้างยาก ถ้าจะมาจุดนี้อาจจะต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม นอกจากนี้ยังมีจุดเช็กอินสวยๆ เยอะมาก นักท่องเที่ยวน้อย เงียบสงบ ที่สำคัญจุดนี้ยังมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เยอะมาก

4. ซือหม่าไถ (Simatai)

ใครที่ชอบไวบ์กลางคืน ที่นี่เป็นจุดเดียวที่เปิดให้บริการเฉพาะตอนกลางคืน เพื่อนๆ จะได้เห็นความสวยงามจากแสงไฟที่ประดับประดา ทอดยาวไปตามแนวสะพาน บรรยากาศอบอวลไปด้วยประวัติศาสตร์และความเงียบสงบ ถือว่าที่นี่เป็น Hiddem Gem เลยก็ว่าได้

การเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนนั้นจำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้า เลือกจุดหมายที่เหมาะกับสภาพร่างกายและไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว รวมถึงเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าสำหรับเดินเขา แว่นกันแดด หมวก น้ำดื่ม และอุปกรณ์ถ่ายรูปเอาไว้เก็ภาพความประทับใจ ที่สำคัญแนะนำให้เดินทางไปยังจุดหมายในช่วงเช้า และหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวหนาแน่น เช่นวันหยุดหรือช่วงท่องเที่ยว

✈️จองตั๋วเครื่องบินราคาถูกพร้อมข้อเสนอพิเศษ 🏨ค้นหาโรงแรมที่ดีที่สุดบน Trip.com! 📱รับ eSIM ที่รวดเร็วเพื่อเชื่อมต่อเมื่ออยู่ต่างประเทศ!
เชียงใหม่ไปภูเก็ต
กรุงเทพฯ ไปโตเกียว
ไทเปไปกรุงเทพฯ
ดูเที่ยวบินทั้งหมด
เชียงใหม่
CNX
ภูเก็ต
HKT
อ. 27 ม.ค.
อ. 27 ม.ค.
เที่ยวเดียว
ลด 42%
เริ่มต้น 161.84€ 94.23
เชียงใหม่
CNX
ภูเก็ต
HKT
พฤ. 29 ม.ค.
พฤ. 29 ม.ค.
เที่ยวเดียว
ลด 42%
เริ่มต้น 161.84€ 94.35
เชียงใหม่
CNX
ภูเก็ต
HKT
อา. 25 ม.ค.
อา. 25 ม.ค.
เที่ยวเดียว
ลด 41%
เริ่มต้น 161.84€ 94.72
เชียงใหม่
CNX
ภูเก็ต
HKT
อ. 27 ม.ค.
อ. 27 ม.ค.
เที่ยวเดียว
ลด 40%
เริ่มต้น 161.84€ 97.02
เชียงใหม่
CNX
ภูเก็ต
HKT
อ. 24 ก.พ.
อ. 24 ก.พ.
เที่ยวเดียว
ลด 40%
เริ่มต้น 161.84€ 97.51
เชียงใหม่
CNX
ภูเก็ต
HKT
จ. 9 มี.ค.
อ. 10 มี.ค.
เที่ยวเดียว
ลด 40%
เริ่มต้น 161.84€ 97.63
เชียงใหม่
CNX
ภูเก็ต
HKT
พ. 25 ก.พ.
พ. 25 ก.พ.
เที่ยวเดียว
ลด 40%
เริ่มต้น 161.84€ 97.75
เชียงใหม่
CNX
ภูเก็ต
HKT
พฤ. 22 ม.ค.
พฤ. 22 ม.ค.
เที่ยวเดียว
ลด 40%
เริ่มต้น 161.84€ 97.87

ฝรั่งเศส - หอไอเฟล (Eiffel Tower)

ฝรั่งเศส - หอไอเฟล (Eiffel Tower)

เมืองแห่งแฟชั่นและศิลปะที่มีความรุ่งเรืองมาอย่างยาวนาน ถ้าพูดถึงสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส ทุกคนคงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “หอไอเฟล” ไอคอนของประเทศที่ตั้งเด่นอยู่ริมแม่น้ำแซน ที่คลุ้งไปด้วยความโรแมนติก และเป็นสัญลักษณ์ของความรัก และวิทยาการศิลปะการออกแบบที่ล้ำยุคและทันสมัยจนกลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ที่ใครก็ใฝ่ฝันที่จะมาเยือน

หอไอเฟลเป็นผลงานการออกแบบจาก "กุสตาฟ ไอเฟล" วิศวกรชาวฝรั่งเศสที่เก่งกาจในด้านวิศวกรรมโครงสร้างเหล็ก ซึ่งที่นี่สร้างขึ้นในปี 1887–1889 เพื่อเฉลิมฉลอง "งานแสดงโลก (Exposition Universelle" ที่จัดขึ้นในกรุงปารีส เพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีของการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งที่นี่ในยุคนั้นก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่สวยและแปลกประหลาด แต่กลับกันหลังจากที่หอไอเฟลได้ออกสู่สายตาชาวโลก กลับกลายเป็นผู้คนทั้งโลกหันมาให้ความสนใจ โดยหอไอเฟลมีความสูงประมาณ 330 เมตร ใช้เหล็กกล้ากว่า 18,000 ชิ้น และใช้เวลาก่อสร้างเพียง 2 ปี 2 เดือน ถือเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก

จุดเช็กอินที่ไม่ควรพลาด

1. จัตุรัสทรอกาเดโร (Place du Trocadéro)

เป็นสถานที่ที่มีลานกว้าง น้ำพุใหญ่ บรรยากาศดี โรแมนติก เป็นจุดที่หลายคนเลือกที่จะมาพักผ่อนหย่อนใจ ที่สำคัญที่นี่เป็นจุดที่สามารถชมวิวหอไอเฟลที่สวยที่สุด ยิ่งช่วงก่อนพระอาทิตย์ตก และตอนกลางคืนที่หอไอเฟลเปิดไฟ

2. ล่องเรือแม่น้ำแซน (Seine River Cruise)

เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ห้ามพลาด เป็นการนั่งเรือชมสถานที่สำคัญของกรุปารีสเช่น หอไอเฟล, พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เป็นต้น ซึ่งในยามค่ำคืนจะได้เห็นไฟที่สวยงามถูกประดับประดาในสถานที่ต่างๆ ของเมือง ซึ่งโรแมนติกมาก บรรยากาศดี โดยการล่องเรือมีให้เลือกทั้งแบบธรรมดาและนั่งเรือดินเนอร์สุดหรู

3. 58 Tour Eiffel

ร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในหอไอเฟล ชั้น 1 เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสที่บรรยากาศดีที่สุด นั่งรับประทานอาหารพร้อมชมวิวเมืองปารีสได้แบบพาโนรามา สำหรับใครที่อยากจะมาแนะนำให้จองล่วงหน้าก่อน เพราะร้านนี้ค่อนข้างฮอต

4. Le Champ de Mars

ใครที่ชอบบรรยากาศที่อบอุ่น Cozy แนะนำร้านนี้เลย ตั้งอยู่ใกล้สวนช็องเดอมาร์ส เป็นร้านอาหารที่มีเมนูอาหารสำหรับทานช่วงกลางวัน เมนูก็จะง่ายๆ แต่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยมาก โดยที่นี่จะเสิร์ฟเมนูสุดคลาสสิคของฝรั่งเศส เช่น สเต็กฟริต ซุปหัวหอม และเครป เป็นต้น

สหรัฐอเมริกา - เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty)

สหรัฐอเมริกา - เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty)

สัญลักษณ์ที่แสดงความเป็นอเมริกา สิ่งแรกที่ขึ้นมาในหัวเลยนั่นก็คือ "เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty)" ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่และยังมีความหมายสำหรับชาวอเมริกามาก เพราะเป็นสัญลักษณ์ของ “เสรีภาพ ความเท่าเทียม และความหวัง” โดยที่นี่จะตั้งอยู่ที่นิวยอร์ก เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ โดยประวัติความเป็นมาแต่เดิมเทพีเสรีภาพเป็นของขวัญจากประเทศฝรั่งเศส มอบให้กับอเมริกาในปี ค.ศ. 1886 เพื่อเป็นของขวัญฉลองครบรอบ 100 ปีของการประกาศอิสรภาพของอเมริกา ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นสัมพันธมิตรที่แน่นแฟ้นของ 2 ประเทศ

เทพีเสรีภาพออกแบบโดย "เฟรเดริก ออกุสต์ บาร์โธลดิ" ส่วนโครงสร้างภายในออกแบบโดย "กุสตาฟ ไอเฟล" (ผู้ที่ออกแบบหอไอเฟล) โดยตัวอนุสาวรีย์หล่อจากแผ่นทองแดง หนักกว่า 225 ตัน และสูงรวมฐานกว่า 93 เมตร ในส่วนประกอบของเทพีเสรีภาพนั้นต่างมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น คบเพลิง แสดงถึงแสงแห่งอิสรภาพ แผ่นจารึก แสดงถึงวันประกาศอิสรภาพ และเท้าข้างหนึ่งยกขึ้นทับโซ่ขาด แสดงถึงการปลดปล่อยจากพันธนาการ

วิธีการเดินทางนั้นก็สะดวกและง่าย โดยเริ่มจากแมนฮัตตันและเดินทางไปที่ Battery Park โดยใช้รถไฟใต้ดินสาย 1, R หรือ 4/5 มาลงที่สถานี South Ferry หรือ Bowling Green และเดินเท้าต่อ 5 นาทีถึงท่าเรือ พอถึงท่าเรือก็ทำการซื้อตั๋วที่ Statue City Cruises โดยสามารถจองล่วงหน้าได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความหนาแน่นของนักท่องเที่ยว โดยตั๋วจะมี 2 รูปแบบ คือแบบปกติ จะสามารถเดินชมรอบเกาะและพิพิธภัณฑ์ และแบบพิเศษ สามารถขึ้นจุดชมวิวในมงกุฎของเทพีที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของอเมริกาได้ด้วย แต่อาจจะต้องจองล่วงหน้านานหน่อย เพราะเป็นตั๋วที่ขายดีมาก

กิจกรรมที่น่าสนใจเมื่อมาเยือนนิวยอร์ก

1. เดินเล่นใน Central Park

เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางนิวยอร์กและเป็นแลนด์มาร์คของอเมริกา มีพื้นที่มากมายให้ผู้คนมาทำกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นปิกนิก ปั่นเรือถีบ นั่งพูดคุย ชมวิวธรรมชาติสวยๆ

2. เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ระดับโลก

นิวยอร์กถือว่าเป็นเมืองที่มีพิพิธภัณฑ์ระดับโลกอยู่ จัดแสดงผลงานในอดีตมากมายทั่วทุกมุมโลก แถมยังเป็นที่ที่วัยรุ่นเข้ามาเช็กอินกันเยอะมาก เพราะมีการจัดแสดงที่สวย หลากหลายธีม โดยพิพิธภัณฑ์ที่น่าไป เช่น The Metropolitan Museum of Art (The Met), Museum of Modern Art (MoMA) และ American Museum of Natural History

3. ชมบรอดเวย์สุดอลังการ

ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน นิวยอร์กถือว่าเป็นศูนย์กลางละครเวทีระดับโลก เป็นโชว์ที่มีความสวยงาม น่าตื่นเต้น และมีเอกลักษณ์ ซึ่งการที่ได้มาดูโชว์บรอดเวย์ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีและควรค่าแก่การมาดูจริงๆ

4. เก็บย่านชิคและช้อปปิ้ง

เมืองนิวยอร์กก็ถือว่าเป็นศูนย์กลางของแฟชั่นสุดเท่ แนวสตรีทมากมาย แถมมีช็อปแบรนด์เนมในย่าน Fifth Avenue และย่าน Greenwich Village มีร้านอาหาร คาเฟ่ และงานศิลปะที่เก๋ที่สุดแห่งหนึ่งเลย

บราซิล - รูปปั้นพระเยซูคริสต์ (Jesus Christ)

บราซิล - รูปปั้นพระเยซูคริสต์ (Jesus Christ)

หนึ่งในสถานที่ที่สำคัญและมาพร้อมกับรูปปั้นยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก "รูปปั้นพระเยซูคริสต์" หรือ "Christ the Redeemer" เป็นภาพที่เชื่อว่าหลายคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี วิวของพระเยซูยืนกางพระหัตถ์บนยอดเขาโคร์โกวาดู กลายเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของประเทศบราซิลเลย ซึ่งรูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้สร้างขึ้นเพื่อฉลองเอกราชของบราซิล โดยสื่อถึงความศรัทธาของชาวคริสต์ที่มีต่อพระเยซู รวมถึงยังเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเชื่อของชาวบราซิล ความสงบ และความร่ำรวยทางวัฒoธรรมและศาสนาคริสต์ โดยรูปปั้นนี้สร้างในปี ค.ศ. 1926 และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1931 ได้มีการออกแบบโดย Heitor da Silva Costa วิศวกรชาวบราซิล และ Paul Landowski ประติมากรชาวฝรั่งเศส วัสดุที่ใช้จะเป็นหินสบู่เป็นหลัก และก่อสร้างจนมีความสูง 38 เมตร (รวมฐาน) ด้วยความยิ่งใหญ่ของรูปปั้นนี้ จึงทำให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ในปี ค.ศ. 2007

การเดินทางไปยังยอดเขาโคร์โกวาดู

ในการเดินทางขึ้นไป ก็มีหลายวิธีแล้วแต่ความสะดวกของนักท่องเที่ยว ซึ่งหลักๆ จะมี 3 วิธีที่จะไปเยือนชมแลนด์มาร์คสำคัญของโลก

1. รถไฟฟ้า Corcovado Train

เป็นวิธีการที่นิยมที่สุดในการเดินทางขึ้นไปจนถึงจุดชมวิวบนยอดเขา สะดวกสบาย และรวดเร็ว แถมบรรยากาศยังดี ร่มรื่น เย็นสบาย โดยรถไฟสายนี้จะผ่านป่าฝนที่อุดมสมบูรณ์ เขียวชอุ่มของอุทยานแห่งชาติ Tijuca ทำให้เราได้สัมผัสบรรยากาศได้จุใจ

2. รถตู้บริการ

การเดินทางรูปแบบนี้ก็ถือว่าสะดวกสบายไม่แพ้รถไฟฟ้าเลย เพราะมีให้บริการหลายจุด เช่น Barra da Tijuca, Largo do Machado และ Copacabana ซึ่งรถตู้นี้ปลอดภัยหายห่วง เพราะเป็นการให้บริการจากทางการ

3. เดินป่า

เอาใจปีนเขา แอดเวนเจอร์ด้วยเส้นทางปีนเขาสู่ยอด โดยนักท่องเที่ยวจะใช้เส้นทางเดินป่าจาก Parque Lage เป็นจุดที่อนุญาตและสามารถปีนขึ้นยอดเขาได้ ใช้เวลาประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง เรียกได้ว่าเก็บบรรยากาศธรรมชาติอันสวยงามได้เต็มอิ่ม

ห้ามพลาดถ้ามาเที่ยวริโอเดจาเนโร

1. หาดโคปาคาบานา (Copacabana Beach)

บีชเกิร์ลมาทางนี้ ห้ามพลาดกับชายหาดสวยชื่อดังระดับโลก มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งเดินเล่นชมวิว อาบแดด ปิกนิกริมชายหาด แถมยังสามารถเล่นวอลเลย์บอลชายหาดได้อีกด้วย

2. หาดอิปาเนมา (Ipanema Beach)

เป็นอีกหนึ่งหาดที่น่าสนใจ และได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีชายหาดที่สวยแล้ว หาดนี้ยังรวมเอาคนเก๋มาไว้ที่นี่ สะอาดไม่มีขยะ แถมยังมีวิวภูเขาตัดกับท้องทะเล แถมยังมีร้านอาหารชื่อดังและอร่อยอยู่ที่นี่ด้วย

3. เขาชูการ์โลฟ (Sugarloaf Mountain)

แวะชมความงามของภูเขา โดยไฮไลท์ของที่นี่จะเป็นการขึ้นกระเช้าไปชมวิว ภาพที่ได้จะเป็นวิวเมืองและ=ายฝั่งแอตแลนติก บอกได้เลยว่าที่นี่ก็ไม่ควรพลาด

4. เทศกาลคาร์นิวัล (Rio Carnival)

เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องงานเทศกาลอยู่แล้ว ใครที่มาแล้วไม่อยากพลาด แนะนำให้มาช่วงต้นปี เพราะจะมีงานจัดอยู่เรื่อยๆ และแน่นอนว่าเล่นใหญ่ทุกปี ทั้งดนตรีซัมบ้าที่เป็นเอกลักษณ์ ขบวนพาเรดสุดอลังการ และบ้านเมืองที่ประดับประดาไปด้วยสีสันสดใส ให้ความรู้สึกสนุกสนานอย่างแน่นอน

อังกฤษ - บิ๊กเบน (Big Ben)

อังกฤษ - บิ๊กเบน (Big Ben)

ถ้าพูดถึงหอนาฬิกา ภาพที่ขึ้นมาในหัวอันดับแรกคงจะเป็นหอนาฬิกาสูงใหญ่ สีแดง ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง นั่นก็คือ “บิ๊กเบน” (Big Ben) สัญลักษณ์ประจำชาติและเป็นแลนด์มาร์คของประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นหอนาฬิกาสไตล์นีโอโกธิก ตั้งเคียงคู่กับพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ริมแม่น้ำเทมส์ กรุงลอนดอน ถ้าย้อนกลับไปหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าบิ๊กเบนคือชื่อของหอนาฬิกา แต่ที่จริงแล้วเป็นชื่อของระฆังภายในหอคอย ที่คอยส่งเสียงบอกเวลา ซึ่งหอคอยแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งพอสร้างเสร็จก็กลายเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก นั่นทำให้ทั่วโลกเห็นว่าประเทศอังกฤษเป็นประเทศมหาอำนาจ มีความมั่นคง

สำหรับถ้าใครเดินทางไปเที่ยวประเทศอังกฤษแล้วจะไปชมเพียงแค่บิ๊กเบน ก็อาจจะไม่ค่อยคุ้ม ขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวรอบๆ ที่สามารถไปเที่ยวได้ ซึ่งบรรยากาศให้ความเป็นผู้ดีอังกฤษสุดๆ ไม่ว่าจะเป็น "พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ (Houses of Parliament)" อาคารรัฐสภาสไตล์โกธิกที่มีความสวยงามติดอันดับโลก โดยที่นี่จะเป็นสถานที่ที่ผู้มีอำนาจใช้ในการตัดสินใจในการบริหารประเทศและเรื่องราวที่สำคัญอื่นๆ ของประเทศอังกฤษ ไปต่อกันที่ "สะพานเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Bridge)" สะพานยอดฮิตที่ผู้คนหลั่งไหลเข้าไปเที่ยว เพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด ต่อมา "ลอนดอนอาย (The London Eye)" เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเกาะอังกฤษ ซึ่งเป็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเทมส์ เพื่อนๆ จะมองเห็นวิว 360 องศาของกรุงลอนดอน และสุดท้ายที่ไม่ควรพลาด "สะพานเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Bridge)" โบสถ์เก่าแก่ที่ทำพิธีกรรมทางศาสนาของราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ควรแวะไปดูสักครั้ง จะได้เห็นความสวยเกินคำบรรยาย

แวะเก็บสถานที่สุดชิคที่กรุงลอนดอน

นอกเหนือจากชมแลนด์มาร์คแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกมากมาย เพราะเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา แถมยังผสมผสานความวินเทจได้อย่างลงตัว ซึ่งกิจกรรมของคนเก๋ที่คัดมามีดังนี้

1. จิบชาสไตล์อังกฤษ

ชาของประเทศอังกฤษถือว่าโด่งดังมาก เพราะมีมายาวนานตั้งแต่ประวัติศาสตร์ การได้มาจิบชาที่นี่ถือได้ว่าเข้าถึงวัฒนธรรมอังกฤษแท้ๆ ด้วย “Afternoon Tea” ซึ่งร้านที่แนะนำจะเป็น Fortnum & Mason หรือ The Ritz ร้านสุดอบอุ่นสไตล์วินเทจ

2. ช้อปปิ้งย่าสุดฮอต

ลอนดอนก็มีสถานที่ให้ช้อปปิ้งมากมาย แถมแบรนด์ดังๆ ที่ราคาดีกว่าไทยก็ยังมีอยู่ที่นี่ด้วย ซึ่งขอแนะนำ 3 ย่านสุดปังที่ทุกคนต้องไป ย่านแรก Oxford Street สายแฟชั่นห้ามพลาด เพราะมีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกช้อป ถัดมา Covent Garden เอาใจสายชิลล์ เดินเล่น ชมบรรยากาศ พร้อมกับมีการแสดงสดริมข้างทางด้วย และ Camden Market เอาใจสายติสท์ ย่านนี้เต็มไปด้วยศิลปะหลายแขนง แถมยังมีร้านขายของเกี่ยวกับศิลปะมากมาย แถมที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องร้านค้าวินเทจอีกด้วย

3. พิพิธภัณฑ์ระดับโลก

สำหรับพิพิธภัณฑ์ที่แนะนำในวันนี้ บอกก่อนว่าเข้าชมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย แนะนำให้หาเวลามาเดินดู เพราะจะได้รับชมกับสิ่งของที่มีมูลค่าและเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ทั่วทุกมุมโลก ได้ทั้งเรียนรู้และศึกษาถึงความเป็นมาของสิ่งที่ได้จัดแสดงโชว์ในที่แห่งนี้ แถมพิพิธภัณฑ์ก็ได้มีการจัดโซนให้ได้เข้าชมหลากหลาย พิพิธภัณฑ์ที่แนะนำ ได้แก่ British Museum และ Natural History Museum

รัสเซีย - จัตุรัสแดง (Red Square)

รัสเซีย - จัตุรัสแดง (Red Square)

รัสเซีย - จัตุรัสแดง (Red Square)

รัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และอีกสัญลักษณ์ที่ทำให้คนนึกถึงประเทศรัสเซียเลย นั่นก็คือ “จัตุรัสแดง” ซึ่งไอคอนที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือโดมหัวหอมหลากสีสันเหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยาย ซึ่งที่แห่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ลานกล้างธรรมดาทั่วไป แต่เป็นสัญลักษณ์เชิงการเมือง ศาสนา จิตวิญญาณ และวัฒนธรรม ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 แต่เดิมเป็นพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมของประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น ตลาดนัด งานพิธีทางศาสนา รวมถึงการประกาศพระราชโองการ โดยความงดงามนี้แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและอารยธรรมที่รุ่งเรืองในอดีตกว่า 500 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2005 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก (UNESCO)

นอกจากจะไปเที่ยวเยี่ยมชมจัตุรัสแดงแล้ว บริเวณรอบๆ ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจให้ไปเดินเที่ยวชมได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติรัสเซีย" สถานที่รวบรวมประวัติศาสตร์ของรัสเซียตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถัดมา "มหาวิหารเซนต์บาซิล" จุดเด่นอยู่ที่โดมหัวหอมหลากสี ที่สร้างขึ้นเพื่อประกาศชัยชนะจากสงคราม ในสมัยพระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 นอกจากนี้ยังมีห้าง Gosudarstvenny Universalny Magazin ห้างหรูและเก่าแก่ของรัสเซีย โดดเด่นที่ตัวอาคาร หลังคาเป็นกระจกโค้ง ได้บรรยากาศสุดคลาสสิค

การเดินทางมาจัตุรัสแดงก็ง่ายแสนง่าย เพียงนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่ สถานี Okhotny Ryad, Teatralnaya หรือ Ploshchad Revolyutsii ซึ่งใครใกล้สถานีไหนก็สามารถเลือกลงได้เลย แล้วเดินเท้าต่ออีกประมาณ 5 - 10 นาที ซึ่งระหว่างทางที่เดินก็ไม่น่าเบื่อ เพราะจะมีร้านรวง คาเฟ่ ร้านอาหาร และมุมถ่ายรูปสวยๆ ตลอดทาง

กิจกรรมสุดว้าวที่ต้องทำเมื่อมามอสโก

1. ช้อปปิ้งที่ย่าน Arbat Street

ถนนคนเดินเก่าแก่ เต็มไปด้วยสินค้าที่น่ารัก มีขายของที่ระลึก แถมยังมีศิลปินมาเล่นเปิดหมวก แถมยังมีคาเฟ่สุดชิคสไตล์ยุโรปตะวันออกอีกด้วย

2. พิพิธภัณฑ์ Tretyakov Gallery

ใครที่ชื่นชอบงานศิลปะและเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ที่นี่เป็นแหล่งรวมผลศิลปะของรัสเซียตั้งแต่ยุคกลางจนถึงปัจจุบัน

3. โรงละครบอลชอย (Bolshoi Theatre)

ใครจะไปคิดว่ารัสเซียจะมีโรงละครที่มีโชว์อลังการขนาดนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการแดงโอเปราและบัลเล่ต์ บรรยากาศและการตกแต่งภายในมีความหรูหรา ให้ความรู้สึกเป็นชนชั้นสูงมาก

อิตาลี - หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa)

อิตาลี - หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa)

ใครจะไปเชื่อว่าความผิดพลาดในอดีต จะทำให้เกิดสัญลักษณ์ที่โดดเด่นและสำคัญที่สุดในอิตาลี "หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa)" หอระฆังหินอ่อนที่สวยมีเสน่ห์ ดึงดูดนักเที่ยวเที่ยวทุกมุมโลกให้มาที่นี่ ซึ่งหอเอนเมืองปิซาก่อสร้างในปี 1173 ใช้เวลาสร้างกว่า 199 ปี โดยสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นหอระฆังของมหาวิหารปิซา ซึ่งสาเหตุที่หอคอยแห่งนี้เอน เนื่องจากดินใต้ฐานที่เป็นดินเลนและทรายได้อ่อนตัวลง แต่ช่างและคนงานได้ตัดสินใจปรับหน้าดินและสร้างต่อจนสำเร็จ ซึ่งหอคอยแห่งนี้ได้สร้างออกมาได้ทนทานมาก ผ่านทั้งกาลเวลา สงคราม และแผ่นดินไหว ก็ยังไม่เกิดการพังเสียหายลงมา และในปี 2001 ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชมวิวได้อย่างปลอดภัย

มัดรวมที่น่าเที่ยวรอบหอเอนเมืองปิซา

1. Camposanto Monumentale

ใครที่ชื่นชอบในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา มาร่วมค้นหาความจริงที่นี่ เพราะเป็นสุสานโบราณที่เชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์จากนครเยรูซาเล็ม ซึ่งจะมีจิตรกรรมฝาผนังยุคกลางที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์

2. มหาวิหารปิซา (Pisa Cathedral)

โบสถ์ที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โรมันเนสก์ ซึ่งตัวโบสถ์จะใช้หินอ่อน พร้อมกับมีการแกะสลักที่มีความประณีตสวยงาม

3. อาคารบัปติสตรี (Baptistery of St. John)

อาคารที่มีความสำคัญทางด้านศาสนามาก เพราะเป็นอาคารที่ใช้ประกอบพิธีศีลจุ่ม ซึ่งตัวอาคารเป็นทรงกลม ทำให้ห้องโถงด้านในมีเสียงก้อง ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้เสียงสะท้อนในช่วงที่ทำพิธี

แวะชิมร้านอาหารดังในปิซา

1. Pizzeria Il Montino

เมื่อมาถึงประเทศต้นตำรับพิซซ่าแล้ว มีหรือจะพลาด! ร้านนี้เป็นร้านพิซซ่าชื่อดังที่เปิดมานานมาก กรรมวิธีการทำก็เป็นวิธีแบบต้นตำรับ ซึ่งหน้าพิซซ่ายอดฮิตที่ต้องสั่งคือพิซซาเตาถ่านหน้าชีสสดและพาร์มาแฮม

2. Osteria di Culegna

ร้านอาหารเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยความที่รสชาติอาหารมีความออริจินัลและมีกลิ่นอายแบบทัสคานี มาพร้อมกับเมนูโฮมเมดที่เข้าถึงความเป็นอิตาลีสุดๆ เมนูยอดฮิตได้แก่ พาสต้าทรัฟเฟิล ราวิโอลี และเนื้อย่างราดซอสไวน์แดง

3. Ristorante La Buca

ใครที่ชื่นชอบการจิบไวน์ขอแนะนำร้านนี้เลย เป็นร้านอาหารใกล้แม่น้ำ Arno ที่โดดเด่นเรื่องไวน์ รวมถึงยังมีเมนูซีฟู้ดสดใหม่ อร่อย แถมบรรยากาศสงบ โรแมนติก ให้ความเรียบหรูขั้นสุด

อินเดีย - ทัชมาฮาล (Taj Mahal)

อินเดีย - ทัชมาฮาล (Taj Mahal)

สัญลักษณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ ความสวยงามของ "ทัชมาฮาล (Taj Mahal)" ก็ยังคงตรึงในใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ทั้งในเรื่องของความงดงามของสถาปัตยกรรม และเรื่องราวความรักที่ได้จารึกไว้ในที่แห่งนี้ ที่นี่สร้างขึ้นโดย จักรพรรดิชาห์จาฮาน เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระมเหสี มุมตัซ มาฮาล ชายาที่รักที่สุด ซึ่งสิ้นสิ้นพระชนม์ขณะให้กำเนิดบุตรคนที่ 14 ในปี ค.ศ. 1631 โดยที่นี่ก่อสร้างเมื่อ 1632 โดยเกณฑ์ช่างฝีมือจากทั่วทั้งอินเดีย เปอร์เซีย ตุรกี และเอเชียกลาง วัสดุหลักที่ใช้สร้างจะเป็นหินอ่อนสีขาว พร้อมประดับด้วยหินสวยงาม พร้อมแกะสลักหินอย่างประณีตตามสไตล์เปอร์เซียและอิสลาม ต่อมาในปี 1983 ได้ประกาศเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก แต่ขึ้นชื่อว่าเป็น “อัญมณีแห่งศิลปะอิสลามในอินเดีย”

ในการเดินทางมาเยี่ยมชมทัชมาฮาลสามารถเดินทางได้หลายรูปแบบดังนี้

1. เครื่องบิน

สามารถบินตรงจากเดลี (Delhi) ไปยังสนามบิน Agra Airport ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง นอกจากนี้สามารถขึ้นจากมุมไบหรือชัยปุระมาได้เช่นกัน

2. รถไฟ

ขึ้นรถไฟที่สถานี New Delhi Railway Station ไปยัง Agra Cantt ใช้เวลาราว 2-3 ชั่วโมง ซึ่งแนะนำให้ขึ้นขบวนด่วน Gatimaan Express หรือ Shatabdi Express ซึ่งปลอดภัยแน่นอน

3. รถยนต์

เริ่มต้นจากเดลีไปยังอักรา ใช้เวลาขับประมาณ 3 ชั่วโมง ใช้ทางหลวง Yamuna Expressway

กิจกรรมที่น่าสนใจในอักรา

1. ป้อมอักรา (Agra Fort)

ป้อมปราการที่สร้างด้วยหินทรายแดง ภายในมีทั้งพระราชวัง ซึ่งเป็นที่ประทับของราชวงศ์ ห้องประชุม รวมถึงสวนที่ได้รับการดูแลอย่างสวยงาม

2. แหล่งช้อปปิ้งของที่ระลึก

ตลาดในอักราส่วนใหญ่จะมีการขายสินค้าท้องถิ่น สินค้าทำมือ รวมถึงของที่ระลึกด้วย ซึ่งสินค้าที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อ ส่วนใหญ่จะเป็น เครื่องประดับสไตล์อินเดียโบราณ งานหินอ่อนแกะสลัก และผ้าปักมือ เป้นต้น

3. Mehtab Bagh (สวนเมห์ตับบา)

สวนสาธารณะบรรยากาศดี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมุนา ซึ่งโลเคชั่นตรงนี้ดีมากตั้งอยู่ตรงข้ามกับทัชมาฮาลอีกด้วย ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายคนที่มา เพื่อมารอชมพระอาทิตย์ตกที่สุดแสนจะโรแมนติก

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ - โรงแรมเบิร์จอัลอาหรับ (Burj Al Arab)

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ - โรงแรมเบิร์จอัลอาหรับ (Burj Al Arab)

ประเทศที่เป็นที่สุดของความร่ำรวย ความหรูหรา และเป็นประเทศที่มีความล้ำยุคล้ำสมัย ซึ่งที่นี่ได้มีโรงแรมระดับ 7 ดาว ซึ่งเป็นแห่งเดียวของโลก นั่นก้คือ "เบิร์จ อัล อาหรับ" เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่บนเทียมกลางทะเล อย่างห่างจากชายฝั่งจูไมราห์เพียง 280 เมตร โรงแรมสุดหรูแห่งนี้เปิดให้บริการเมื่อ 1999 การออกแบบนั้นทำให้มีลักษณะเหมือนกับใบเรือของเรือใบดาว งบประมาณการสร้าง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใช้เวลาสร้างเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น ภายในตกแต่งด้วยทองคำแท้, เครื่องเรือนสุดอลังการ, พรมทอมือ และหินอ่อนคัดเกรดพิเศษ โดยโรงแรมนี้มีเพียง 202 ห้อง ไทบ์ห้องเป็นห้องแบบสวีท ทักห้องจะเห็นวิวทะเลแบบพาโนรามา มีบัตเลอร์คอยให้บริการ 24 ชั่วโมง

สำหรับใครต้องการมาที่นี่ ขอแนะนำบริการสุดหรูหราจากโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นรับประทานอาหารที่ Al Mahara ห้องอาหารอควาเรียมขนาดยักษ์ อาหารที่จัดเสิร์ฟจะเป็นซีฟู้ดแบบพรีเมียม และรับประทานอาหารที่ Al Muntah ห้องอาหารชั้นบนสุดของโรงแรม เห็นวิวเมืองดูไบแบบพาโนรามาเช่นกัน โดยอาหารจะเสิร์ฟเป็นอาหารสไตล์ฝรั่งเศส รวมถึงใครที่ต้องการสัมผัสการปรนนิบัตรดุจราชาราชินีต้องที่ Talise Spa & Skyview Wellness ห้องสปาบนชั้นสูงสุดของโรงแรม มีทั้งทรีตเมนต์บำรุงผิว ห้องอาบน้ำสไตล์อาหรับ และสระว่ายน้ำมองเห็นวิวทะเล สุดพิเศษกับแขกที่มาพักมีบริการรถหรูอย่าง Rolls-Royce Phantom หรือจะเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวของทางโรงแรม ก็ได้รับประสบการณ์สุดพิเศษ

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด

สำหรับใครที่มาแล้วไม่อยากพลาดความหรูหราทันสมัยแนะนำให้ท่องเที่ยวใกล้ๆ โรงแรม จะพบว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวสุดว้าวรอคุณอยู่

1. ช้อปปิ้งหรูระดับโลก

ขอแนะนำ Burj Khalifa และ Dubai Mall แหล่งช้อปปิ้งที่เดินทางเพียง 20 นาที ร้านรวมจะอยู่ตึกที่สูงที่สุดในโลก พร้อมมีโชว์น้ำพุสุดอลังการ

2. Wild Wadi Waterpark

สวนน้ำขนาดใหญ่เปิดให้บริการอยู่ใกล้ๆ กับโรงแรม มีชื่อเสียงระดับโลก เพราะมีสไลเดอร์สูง พร้อมทั้งมีโซนสำหรับเด็ก สามารถสนุกสนานได้ทุกช่วงวัยแน่นอน

3. หาดจูไมราห์ (Jumeirah Beach)

แน่นอนว่าโรงแรมอยู่กลางทะเลแบบนี้ กิจกรรมทางน้ำก็ไม่ควรพลาด หาดทรายสีขาวสะอาด น้ำทะเลสีฟ้าใส แถมยังมีกิจกรรมทางน้ำให้เล่น เช่น เจ็ตสกี เหมาะแก่การมาผ่อนคลายสุดๆ

เนเธอร์แลนด์ - กังหันลม (Windmill)

เนเธอร์แลนด์ - กังหันลม (Windmill)

เมื่อพูดถึงประเทศเนเธอแลนด์ จะเห็นรูปภาพวิวสวยๆ มาพร้อมกับกังหันลมอันใหญ่ๆ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนและบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของเนเธอแลนด์ "กังหันลม" ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างขึ้นมาเป็นแลนด์มาร์คเฉยๆ เท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตและภูมิปัญญาที่ทันสมัยของชาวดัตช์ในยุคนั้น ซึ่งกังหันลมกำเนิดขึ้นมาเมื่อศตวรรษที่ 13 เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดจากพื้นดินที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ชาวดัตช์จึงได้พัฒนาระบบกังหันน้ำสูบลมเพื่อระบายน้ำจากพื้นที่อยู่อาศัยและการเกษตรออกสู่ทะเล ต่อมาชาวดัตช์ได้มีการพัฒนาให้มีฟังก์ชันการใช้งานเพิ่มมากขึ้น เช่น การผลิตน้ำมัน เลื่อยไม้ โม่แป้งจากเมล็ดข้าว หรือบดเครื่องเทศ และในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มีการบันทึกว่าประเทศเนเธอแลนด์มีกังหันลงมากกว่า 10,000 แห่ง นั่นแสดงให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรม เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของประเทศนี้ด้วย ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามา แต่ทางการก็ยังให้เหลือกังหันลมไว้เป็นสัญลักษณ์และได้อนุรักษ์ไว้กว่า 1,000 แห่ง จึงทำให้กลายเป็นแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวต้องมาที่นี่

เดินทางเช็กอินกังหันลม!

1. ซานส์สคันส์ (Zaanse Schans)

ที่นี่อยู่ใกล้กับอัมสเตอร์ดัม ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 30 - 40 นาที นอกจากจะมีกังหันลมหลากสีแล้ว ยังมีบ้านเรือนสไตล์ดัตช์โบราณ , โรงทำชีส และการสาธิตทำรองเท้าไม้ เป็นจุดที่สามารถเดินเล่นหรือจะถ่ายรูปทำคอนเทนต์ก็ได้

2. คินเดอร์ไดค์ (Kinderdijk)

ที่นี่อยู่ใกล้กับร็อตเตอร์ดัม ไฮไลท์อยู่ที่กังหันลมเรียงรายกว่า 19 ตัว ท่ามกลางวิวธรรมชาติ แถมยังมีบริการนั่งเรือชมวิว ปั่นจักรยานเลียบคลองเพื่อชมบรรยากาศสุดจะโรแมนติก ที่สำคัญที่นี่ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกอีกด้วย

3. ชีดัม (Schiedam)

เป็นเมืองที่มีกังหันลมที่สูงที่สุด ตั้งอยู่ใกล้ๆกับร็อตเตอร์ดัม ซึ่งที่นี่เป็นกังหันลมโรงกลั่นเหล้าจินที่มีความสูงกว่า 33 เมตร โดยที่นี่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าเยี่ยมชมด้วย

สำหรับทริปเนเธอแลนด์นั้นมาเพียงแต่วันเดียวไม่ได้ อาจจะต้องมีการเก็บตามจุดแลนด์มาร์คให้ครบ เพราะประเทศนี้ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของทิวทัศน์ บรรยากาศดี บ้านเมืองสงบ โรแมนติก ดังนั้นจำเป็นต้องมีการจองสำรองที่พักไว้ ซึ่งจองกับ Trip.com ได้ที่พักราคาดี ปลอดภัย เพียงแค่ค้นหาและเลือกไทป์ห้องที่ต้องการ หลังจากนั้นก็กดจองได้ทันที ใช้ง่าย จ่ายสะดวก รวดเร็ว

การเดินทางไปยังแลนด์มาร์คระดับโลกหรือจุดจุดเช็กอินสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในยุโรป เอเชีย หรือแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลกอื่นๆ เอง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชมความงดงามของสถานที่เพียงเท่านั้น เป็นการเปิดประสบการณ์ เรียนรู้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของผู้คนในสถานที่นั้นๆ อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตตนเอง และเป็นความทรงจำที่ดีไปตลอด และสำหรับใครที่ต้องการเดินทางสามารถเข้ามาค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยว ไฟลท์บิน หรือโรงแรมได้ที่ Trip.com เพื่อเตรียมตัวในการเดินทาง และถ้าใครเคยไปที่ไหนมาบ้าง แล้วรู้สึกว่าที่นี่เป็น The best landmark สามารถแชร์ข้อมูลเพิ่มเติมกันได้น้า

อะไรคือแลนด์มาร์คสําคัญที่ไม่ควรพลาดทั่วโลก

  • เช็คอิน 12 จุดถ่ายรูปแลนด์มาร์คยุโรป แบบชิคๆ

    1 ลอนดอนอาย อังกฤษ ... 2 หอไอเฟล ปารีส ฝรั่งเศส ... 3 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ฝรั่งเศส ... 4 ประตูชัยฝรั่งเศส ... 5 มิลาน อิตาลี ... 6 น้ำพุเทรวี กรุงโรม อิตาลี ... 7 หอเอนเมืองปิซ่า อิตาลี ... 8 บาร์เซโลน่า สเปน
  • สถานที่ท่องเที่ยวมหัศจรรย์ของโลกมีอะไรบ้าง

    1. ชิเชน อิตซา Chichen Itza : เม็กซิโก คริชตู เรเดงโตร์ 3. กำแพงเมืองจีน Great Wall of China : จีน 4. มาชูปิกชู Machu Picchu : เปรู 5. นครเพตรา Petra : จอร์แดน 6. โคลอสเซียม Colosseum : อิตาลี 7. ทัชมาฮาล Taj Mahal : อินเดีย
  • มรดกโลกมีความสำคัญอย่างไร

    เป็นการบ่งบอกถึงคุณค่าของสิ่งที่มนุษยชาติ หรือธรรมชาติได้สร้างขึ้นมา และควรจะปกป้องสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร เพื่อให้ได้ตกทอดไปถึงอนาต
คำจำกัดความรับผิดชอบ: บทความนี้จัดทำโดยผู้ร่วมสร้างเนื้อหารายบุคคลหรือแพลตฟอร์มบุคคลที่สาม ในกรณีที่มีความผิดพลาดเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ โปรดติดต่อเราและเราจะลบเนื้อหาทันที
>>
แลนด์มาร์ค